วิธีติดตั้งรอกไฟฟ้า แบบครบถ้วน (Step-by-Step คู่มือสำหรับมืออาชีพ)
การเลือกใช้รอกไฟฟ้าในโรงงานหรือคลังสินค้าไม่ใช่เรื่องยาก แต่การติดตั้งให้ถูกต้องตามมาตรฐานต่างหากที่เป็นหัวใจสำคัญของความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงาน หลายโรงงานประสบปัญหาจากการติดตั้งที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เครื่องจักรเสียหายก่อนเวลา หรือเสียเวลาทำงานมากกว่าที่ควรจะเป็น บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจทุกขั้นตอนของการติดตั้งรอกไฟฟ้าแบบมืออาชีพ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบยกของหนักในโรงงานของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยที่สุด

ทำความรู้จัก “รอกไฟฟ้า” ก่อนเริ่มติดตั้ง
ก่อนจะลงมือติดตั้งอะไรก็ตาม การเข้าใจพื้นฐานของอุปกรณ์ที่จะใช้งานเป็นสิ่งจำเป็น การรู้จักรอกไฟฟ้าอย่างถ่องแท้จะช่วยให้คุณวางแผนการติดตั้งได้ถูกต้อง ลดข้อผิดพลาด และประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
รอกไฟฟ้า คืออะไร?
รอกไฟฟ้าคืออุปกรณ์ยกของที่ใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนมอเตอร์เพื่อยกหรือลดระดับของวัตถุหนักในแนวดิ่ง ประกอบด้วยส่วนสำคัญ คือ มอเตอร์ไฟฟ้า ชุดเกียร์ทด กลไกเบรก และระบบควบคุม เมื่อกดปุ่มควบคุม มอเตอร์จะหมุนขับเคลื่อนให้โซ่หรือสลิงม้วนเข้าหรือคลายออก ส่วนเบรกจะทำงานทันทีเมื่อปล่อยปุ่มเพื่อป้องกันของตกลงมา
ความสามารถในการยกวัดจากพิกัดน้ำหนัก (Load Capacity) ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 125 กิโลกรัม ไปจนถึงหลายสิบตันสำหรับงานอุตสาหกรรมหนัก นอกจากนี้ยังมีความสูงในการยก (Lifting Height) และความเร็วในการยก (Lifting Speed) ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน การเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางแผนวิธีติดตั้งรอกไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง
ประเภทของรอกไฟฟ้า
การเลือกรอกไฟฟ้าที่เหมาะสมเป็นก้าวแรกของความสำเร็จในการติดตั้ง โดยรอกไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักที่มีข้อแตกต่างชัดเจน คือ รอกโซ่ไฟฟ้าและรอกสลิงไฟฟ้า การเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้คุณเลือกอุปกรณ์ที่ตรงกับความต้องการและวิธีการติดตั้งที่เหมาะสมที่สุด
รอกโซ่ไฟฟ้า (Electric Chain Hoist)
รอกโซ่ไฟฟ้า (Electric Chain Hoist) เป็นรอกที่ใช้โซ่โลหะเป็นตัวยกของ มักมีขนาดกะทัดรัดและเหมาะกับการยกของที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 125 กิโลกรัม ถึง 5 ตัน ข้อดีสำคัญคือ ติดตั้งง่าย ใช้พื้นที่น้อย
เหมาะกับโรงงานที่มีความสูงจำกัด และราคาไม่สูงมาก โซ่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นหรือสารเคมี การบำรุงรักษาทำได้ง่ายเพียงหล่อลื่นโซ่เป็นระยะ อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการยกจะช้ากว่ารอกสลิงเล็กน้อย และไม่เหมาะกับการยกของหนักมากกว่า 5 ตัน รอกโซ่ไฟฟ้าจึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ คลังสินค้า หรือโรงงานขนาดกลางที่ต้องการความคล่องตัว
รอกสลิงไฟฟ้า (Electric Wire Rope Hoist)
รอกยกของไฟฟ้าแบบสลิง (Electric Wire Rope Hoist) หรือที่เรียกว่ารอกกว้านไฟฟ้า ใช้สลิงลวดเหล็กเป็นตัวยกของ สามารถรองรับน้ำหนักได้มากกว่า ตั้งแต่ 500 กิโลกรัม จนถึงหลายสิบตัน ข้อดีที่โดดเด่นคือ ความเร็วในการยกสูง ยกของได้สูงกว่า (เพราะสลิงม้วนในกลองได้หลายรอบ) และทนทานต่อการใช้งานหนัก เหมาะกับอุตสาหกรรมหนัก เช่น โรงงานเหล็ก ปูนซีเมนต์ หรือท่าเรือ อย่างไรก็ตาม ราคาสูงกว่ารอกโซ่ ขนาดตัวเครื่องใหญ่กว่า ต้องการพื้นที่ในการติดตั้งมากขึ้น และการบำรุงรักษาต้องตรวจสอบสลิงอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการขาดหรือเปื่อยเสื่อม
เลือกรอกให้เหมาะกับงาน
การเลือกรอกไฟฟ้าที่เหมาะสมต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ น้ำหนักยก สภาพแวดล้อม และความสูงการยก ซึ่งแต่ละปัจจัยมีความสำคัญต่อการทำงานและความปลอดภัยไม่แพ้กัน
- น้ำหนักยก (Load Capacity) เป็นปัจจัยแรกที่ต้องพิจารณา คุณต้องรู้น้ำหนักสูงสุดของสิ่งที่จะยกและเลือกรอกที่มีพิกัดสูงกว่าอย่างน้อย 20-30% เพื่อความปลอดภัย เช่น ถ้าต้องยกของหนัก 800 กิโลกรัม ควรเลือกรอกพิกัด 1 ตันขึ้นไป การยกของเกินพิกัดไม่เพียงแต่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ แต่ยังทำให้รอกเสียหายเร็วและเสียค่าซ่อมบำรุงสูง
- สภาพแวดล้อม ก็มีผลต่อการเลือกรอกเช่นกัน โรงงานที่มีฝุ่นมาก ควรเลือกรอกที่มีการป้องกันฝุ่นเข้าเครื่อง ถ้าสภาพแวดล้อมมีความชื้นสูงหรือมีสารเคมี ควรเลือกรอกที่มีการเคลือบป้องกันสนิม หรือใช้วัสดุสแตนเลสในบางส่วน สำหรับโรงงานที่มีอุณหภูมิสูง เช่น โรงหล่อหรือโรงงานเหล็ก ต้องเลือกรอกที่ออกแบบมาสำหรับทนความร้อนโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่ออายุการใช้งานและความถี่ในการบำรุงรักษา
- ความสูงการยก (Lifting Height) คือระยะทางในแนวดิ่งที่รอกต้องยกของขึ้นและลงได้ ต้องวัดจากพื้นที่ต่ำสุดที่ต้องการยกของถึงจุดสูงสุด แล้วเผื่อระยะเพิ่มอีก 1-2 เมตร รอกโซ่ไฟฟ้ามักมีความสูงมาตรฐานที่ 3, 6, 9 หรือ 12 เมตร ส่วนรอกสลิงสามารถสั่งทำความสูงได้มากกว่า การเลือกความสูงที่ไม่พอจะทำให้ใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่เลือกสูงเกินไปก็เสียเงินโดยไม่จำเป็น การประเมินปัจจัยทั้ง 3 อย่างนี้อย่างละเอียดจะช่วยให้คุณเลือกรอกได้ตรงกับความต้องการและคุ้มค่าที่สุด
ขั้นตอนเตรียมงานก่อนการติดตั้ง
ความสำเร็จของการติดตั้งรอกไฟฟ้าเริ่มต้นจากการเตรียมงานที่ดี การตรวจสอบและเตรียมความพร้อมในทุกด้านก่อนเริ่มติดตั้งจะช่วยให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่น ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และประหยัดเวลาในการทำงาน ขั้นตอนเตรียมงานที่ถูกต้องยังช่วยป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายของอุปกรณ์ได้อีกด้วย
ตรวจสอบโครงสร้างรองรับรอก (คาน I-beam / ราง / แท่นติดตั้ง)
โครงสร้างรองรับเป็นหัวใจสำคัญของความปลอดภัย ก่อนติดตั้งต้องให้วิศวกรตรวจสอบว่าคาน I-beam สามารถรับน้ำหนักได้เพียงพอ โดยทั่วไปคานต้องรับน้ำหนักได้มากกว่าน้ำหนักรวมของรอกและน้ำหนักที่ยกอย่างน้อย 3-4 เท่า ตรวจสอบคุณภาพคานว่าไม่มีรอยร้าว รอยผุกร่อน หรือการบิดงอ ความคลาดเคลื่อนของระดับต้องไม่เกิน 1:1000 เพื่อให้รอกทำงานได้ราบรื่น
สำหรับจุดยึด ต้องใช้สลักเกลียวและแป้นรองขนาดเหมาะสมตามคำแนะนำของผู้ผลิต การยึดต้องแน่นหนาและกระจายน้ำหนักอย่างเท่ากัน ห้ามใช้สลักเกลียวที่เล็กเกินไปเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
ตรวจสอบอุปกรณ์และชิ้นส่วนรอกก่อนเริ่มติดตั้ง
แกะกล่องและตรวจสอบรอกไฟฟ้าทุกชิ้นส่วนอย่างละเอียด ตรวจดูว่าไม่มีรอยชำรุดจากการขนส่ง โซ่หรือสลิงไม่มีรอยบิดหรือรอยขาด Hook มี Safety Latch ครบถ้วนและทำงานได้ดี ตรวจสอบมอเตอร์ว่าตรงกับแรงดันไฟฟ้า (220V หรือ 380V) และดูป้ายข้อมูลว่าพิกัดน้ำหนักถูกต้องตามที่สั่งซื้อ
ตรวจนับอุปกรณ์เสริม เช่น สลักเกลียว แป้นรอง สายไฟ ชุดควบคุมรีโมท และคู่มือการติดตั้งว่าครบถ้วน หากพบชิ้นส่วนขาดหายหรือชำรุด ต้องติดต่อผู้จำหน่ายทันทีก่อนเริ่มติดตั้ง
ตรวจสอบระบบไฟฟ้า สายดิน และตำแหน่งสวิตช์ควบคุม
ต้องมีจุดจ่ายไฟที่ตรงกับข้อกำหนดของรอก พร้อม Circuit Breaker และระบบป้องกันไฟรั่ว (ELCB หรือ RCBO) สายดินเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ต้องต่อถูกต้องตามมาตรฐานและมีค่าความต้านทานไม่เกิน 5 โอห์ม โครงสร้างโลหะทั้งหมดของรอกและคานต้องต่อสายดินด้วย
ตำแหน่งสวิตช์ควบคุมต้องวางแผนไว้ล่วงหน้า หากใช้สวิตช์แบบแขวน ต้องมั่นใจว่าความยาวสายเพียงพอและผู้ใช้งานมองเห็นของที่ยกได้ชัดเจน หากใช้รีโมทไร้สาย ต้องแน่ใจว่าสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ทำงาน
วิธีติดตั้งรอกไฟฟ้า ทีละขั้นตอน
เมื่อเตรียมงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาของขั้นตอนการติดตั้งจริง การติดตั้งรอกที่ถูกต้องต้องทำทีละขั้นตอนอย่างละเอียดและไม่รีบร้อน แต่ละขั้นตอนมีความสำคัญต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว การปฏิบัติตามคู่มือผู้ผลิตและใช้เครื่องมือที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็น หากไม่มั่นใจควรใช้บริการจากทีมช่างมืออาชีพที่ได้รับการรับรองเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
ขั้นที่ 1 – ประกอบตัวรอกและตะขอแขวน
เริ่มต้นด้วยการวางรอกไฟฟ้าบนพื้นที่ปลอดภัย ตรวจสอบตะขอแขวน (Hook) ว่าติดตั้งแน่นหนาและ Safety Latch ทำงานได้ดี ตะขอต้องหมุนได้อย่างอิสระ 360 องศาโดยไม่ติดขัด สำหรับรอกที่มา Trolley แยกชิ้น ต้องประกอบ Trolley เข้ากับตัวรอกตามคู่มือ ขันสลักเกลียวทุกตัวให้แน่นตามแรงบิดที่กำหนด
ตรวจสอบโซ่หรือสลิงว่าม้วนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและไม่มีการบิดงอ สำหรับรอกโซ่ ให้ตรวจสอบว่าโซ่อยู่ในร่องของเฟืองอย่างสนิท ส่วนรอกสลิงให้ดูว่าสลิงม้วนเรียบร้อยในกลองและมีจำนวนรอบตามที่กำหนด การตรวจสอบในขั้นตอนนี้จะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเริ่มใช้งานจริง
ขั้นที่ 2 – ยึดรอกเข้ากับโครงสร้างหรือคานรับน้ำหนัก
ใช้เครนหรืออุปกรณ์ยกที่เหมาะสมในการยกตัวรอกขึ้นไปติดตั้งบนคาน ห้ามใช้คนยกเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุ สำหรับรอกที่มี Trolley ให้เลื่อน Trolley เข้าไปบนคาน I-beam ตรวจสอบว่าล้อของ Trolley วิ่งได้ราบรื่นและไม่มีสิ่งกีดขวาง
ยึดตัวรอกหรือ Trolley เข้ากับคานโดยใช้สลักเกลียวและแป้นรองตามที่ผู้ผลิตกำหนด ต้องใช้ขนาดและเกรดของสลักที่ถูกต้อง โดยทั่วไปใช้สลักเกรด 8.8 ขึ้นไป ขันสลักด้วย Torque Wrench ตามค่าแรงบิดที่กำหนดเพื่อให้แน่นพอดีไม่หลวมและไม่แน่นจนเกินไป
ตรวจสอบความตรงและระดับของรอกอีกครั้งหลังติดตั้ง รอกต้องแขวนตรงในแนวดิ่งและไม่เอียง หากมีการติดตั้งแบบเคลื่อนที่บนคาน ให้ทดสอบเลื่อนไปมาว่าทำงานได้ราบรื่นตลอดทั้งเส้นทาง การยึดที่ถูกต้องและแน่นหนาเป็นหัวใจสำคัญของความปลอดภัย
ขั้นที่ 3 – ติดตั้งรีโมทควบคุมหรือแผงสวิตช์
เชื่อมต่อสายไฟเข้ากับตัวรอกตามแผนผังไฟฟ้าในคู่มือ การต่อสายต้องทำโดยช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาต ตรวจสอบว่าสายเฟสต่อถูกต้องและสายดินต่อครบทุกจุด สำหรับรอก 3 Phase ต้องระวังลำดับเฟสเพราะจะส่งผลต่อทิศทางการหมุนของมอเตอร์
หากใช้สวิตช์แบบแขวน ให้ติดตั้งตามตำแหน่งที่วางแผนไว้ ตรวจสอบว่าความยาวของสายเคเบิลเหมาะสมและไม่ติดขัดกับการเคลื่อนที่ของรอก สำหรับชุดควบคุมรีโมทไร้สาย ให้ติดตั้งตัวรับสัญญาณบนรอกตามคู่มือ จากนั้นทำการ Pairing รีโมทกับตัวรับตามขั้นตอน
ทดสอบการทำงานของทุกปุ่มควบคุมก่อนเริ่มใช้งานจริง แต่ละปุ่มต้องตอบสนองถูกต้องตามที่กำหนด เช่น ปุ่มขึ้นต้องทำให้รอกยกของขึ้น ปุ่มลงต้องลดของลง และปุ่มหยุดต้องหยุดการทำงานทันที การติดตั้งระบบควบคุมที่ถูกต้องจะช่วยให้การใช้งานปลอดภัยและสะดวกสบาย
ขั้นที่ 4 – ทดสอบระบบยก-ลด และตรวจสอบทิศทางการหมุน
เริ่มทดสอบโดยไม่มีน้ำหนักก่อน กดปุ่มยกขึ้นและสังเกตว่าโซ่หรือสลิงม้วนเข้าอย่างถูกต้อง หากทิศทางผิด (โดยเฉพาะรอก 3 Phase) ต้องให้ช่างไฟฟ้าสลับเฟสที่แหล่งจ่ายไฟ จากนั้นทดสอบใหม่จนกว่าทิศทางจะถูกต้อง
ทดสอบการยกโดยเริ่มจากน้ำหนักเบา ประมาณ 25% ของพิกัด ยกขึ้นลงหลายครั้งและสังเกตการทำงาน ตรวจสอบว่าเบรกทำงานดี รอกหยุดทันทีเมื่อปล่อยปุ่ม ไม่มีเสียงผิดปกติ ไม่มีการสั่นสะเทือนผิดปกติ และ Limit Switch ทำงานป้องกันไม่ให้ยกสูงหรือต่ำเกินไป
เพิ่มน้ำหนักทดสอบเป็นลำดับจนถึง 100% ของพิกัด สังเกตว่ารอกยกได้อย่างราบรื่นและโครงสร้างรับน้ำหนักไม่มีอาการผิดปกติ ทดสอบการเคลื่อนที่ไปมาบนคาน (ถ้ามี) ว่าทำงานได้ดี ไม่ติดขัด และหยุดตรงตำแหน่ง การทดสอบอย่างละเอียดในขั้นตอนนี้จะช่วยให้มั่นใจว่าวิธีติดตั้งรอกไฟฟ้าเป็นไปอย่างถูกต้องและพร้อมใช้งาน
ข้อควรระวังในการติดตั้งและใช้งานรอกไฟฟ้า
แม้จะติดตั้งรอกไฟฟ้าอย่างถูกต้องแล้ว ความปลอดภัยก็ยังขึ้นอยู่กับการปฏิบัติที่ถูกต้องของผู้ใช้งาน การมีความรู้เรื่องข้อควรระวังจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ ผู้ใช้งานทุกคนควรได้รับการอบรมก่อนเริ่มใช้รอก
ห้ามยกของเกินพิกัดน้ำหนักที่กำหนด
หลักการสำคัญที่สุดคือห้ามยกของเกินพิกัดน้ำหนักที่กำหนดไว้อย่างเด็ดขาด การยกของเกินพิกัดจะทำให้โครงสร้าง เกียร์ เบรก และส่วนประกอบต่างๆ ได้รับแรงเกินกำลัง อาจเกิดการชำรุดเสียหายหรือหักพับได้
ต้องคำนึงถึงน้ำหนักของอุปกรณ์ช่วยยกด้วย เช่น สลิง โซ่ยก Shackle และตะขอ เพราะน้ำหนักเหล่านี้รวมอยู่ในพิกัดการยก ตัวอย่างเช่น รอกพิกัด 1 ตัน หากใช้อุปกรณ์ช่วยยกหนัก 100 กิโลกรัม ก็ยกของได้เพียง 900 กิโลกรัม แม้หลายโรงงานจะติดตั้งระบบ Overload Protection แต่ผู้ใช้งานต้องรู้น้ำหนักของสิ่งที่จะยกและตรวจสอบก่อนทุกครั้ง
หลีกเลี่ยงการยกของเหนือศีรษะบุคคล
ห้ามยกของผ่านเหนือศีรษะของบุคคลโดยเด็ดขาด หากเกิดอุบัติเหตุ เช่น สลิงขาด ตะขอหลุด หรือของตกลงมา อาจทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ ก่อนยกของทุกครั้งต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใต้บริเวณที่จะยกของผ่าน
ควรจัดพื้นที่ทำงานให้ชัดเจน กั้นเขตห้ามเข้าในบริเวณที่มีการยกของ และมีป้ายเตือน ผู้ควบคุมรอกต้องมองเห็นของที่ยกและบริเวณโดยรอบได้ชัดเจนตลอดเวลา หากมองไม่เห็นต้องมีผู้ช่วยให้สัญญาณ และห้ามใช้รอกยกคนโดยเด็ดขาด เพราะรอกไฟฟ้าออกแบบมาเพื่อยกวัตถุเท่านั้น
ตรวจสอบโครงสร้างและสายไฟก่อนใช้งานทุกครั้ง
ผู้ใช้งานควรตรวจสอบพื้นฐานก่อนใช้รอกทุกครั้งตามเช็กลิสต์ตรวจสอบรอกไฟฟ้า สิ่งที่ต้องตรวจสอบประจำวัน ได้แก่ สภาพของโซ่หรือสลิงว่าไม่มีรอยขาด รอยบิด หรือความเสียหาย หากพบความผิดปกติต้องหยุดใช้งานทันที
ตรวจสอบ Hook และ Safety Latch ว่าทำงานได้ดี ไม่มีรอยร้าวหรือรอยโก่ง ตรวจสอบปุ่มควบคุมว่าตอบสนองถูกต้องและเบรกทำงานดี สุดท้ายดูสายไฟว่าไม่มีรอยชำรุด และการต่อสายดินยังแน่นหนา การตรวจสอบเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้รอกโซ่อย่างถูกวิธีและควรกลายเป็นนิสัยของผู้ใช้งานทุกคน
การดูแลรักษาและตรวจเช็กรอกหลังติดตั้ง
การติดตั้งรอกไฟฟ้าที่ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งที่จะทำให้รอกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในระยะยาวคือการบำรุงรักษารอกไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ การมีแผนการบำรุงรักษาที่ชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจะช่วยยืดอายุการใช้งาน ลดความเสี่ยงจากการเสียหาย และป้องกันอุบัติเหตุ การลงทุนในการบำรุงรักษาจะคุ้มค่ากว่าการซ่อมแซมหลังเกิดปัญหาร้ายแรง
ตารางการบำรุงรักษา (รายวัน / รายเดือน / รายปี)
การตรวจสอบรายวัน ควรทำโดยผู้ใช้งานก่อนเริ่มใช้รอกในแต่ละกะหรือแต่ละวัน ตรวจสอบสภาพภายนอกของรอก โซ่หรือสลิง Hook ปุ่มควบคุม เสียงขณะทำงาน และการทำงานของเบรก การตรวจสอบรายวันใช้เวลาไม่นานแต่สามารถตรวจพบปัญหาเบื้องต้นได้
การบำรุงรักษารายเดือน ควรทำโดยช่างผู้รับผิดชอบหรือทีมซ่อมบำรุง รวมถึงการหล่อลื่นส่วนที่เคลื่อนไหว ตรวจสอบสลักเกลียวและจุดยึดทั้งหมดว่ายังแน่นหนา ตรวจสอบสภาพของเฟือง ตรวจสอบการทำงานของ Limit Switch และระบบความปลอดภัยอื่นๆ ทำความสะอาดรอกและเช็ดถูฝุ่นที่สะสม ตรวจสอบสายไฟและการต่อต่างๆ ให้แน่หนา
การตรวจสอบรายปี ควรเป็นการตรวจสอบเชิงลึกโดยช่างผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ให้บริการที่ได้รับการรับรอง ตรวจสอบทุกส่วนประกอบอย่างละเอียด รวมถึงการถอดชิ้นส่วนสำคัญเพื่อตรวจสอบภายใน เปลี่ยนอะไหล่ที่สึกหรอตามกำหนด ทดสอบน้ำหนักเพื่อยืนยันว่าระบบยังทำงานได้ตามพิกัด และออกใบรับรอง ปจ.1 ตามกฎหมายกำหนด การทำตามตารางการบำรุงรักษาเหล่านี้จะทำให้มั่นใจว่ารอกอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและปลอดภัยเสมอ
วิธีทำความสะอาดและหล่อลื่นส่วนที่เคลื่อนไหว
การทำความสะอาดและหล่อลื่นเป็นการบำรุงรักษาพื้นฐานที่สำคัญ ฝุ่นและสิ่งสกปรกที่สะสมจะทำให้เกิดการสึกหรอเร็วขึ้นและอาจทำให้ชิ้นส่วนติดขัด การทำความสะอาดควรทำเป็นประจำ โดยเฉพาะในโรงงานที่มีฝุ่นมาก
วิธีทำความสะอาด:
- ใช้ผ้าสะอาดเช็ดถูตัวเครื่องรอกเพื่อกำจัดฝุ่นและคราบสกปรก
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำฉีดโดยตรงเพราะอาจทำให้น้ำเข้าไปในส่วนของมอเตอร์หรือระบบไฟฟ้า
- หากจำเป็นต้องใช้น้ำให้ระวังไม่ให้เข้าส่วนที่เป็นไฟฟ้าและเช็ดให้แห้งทันที
- สำหรับโซ่หรือสลิง ทำความสะอาดและตรวจสอบอย่างละเอียด ใช้แปรงเหล็กขัดคราบสนิมหรือสิ่งสกปรกที่ติดแน่น
วิธีหล่อลื่น:
- จุดที่ต้องหล่อลื่นเป็นประจำ: โซ่หรือสลิง, ลูกปืนและจุดหมุนต่างๆ, เฟืองภายใน, และล้อของ Trolley
- ใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ผู้ผลิตแนะนำ (โดยทั่วไปใช้น้ำมันเกรดอุตสาหกรรมที่มีความหนืดเหมาะสม)
- สำหรับโซ่ควรใช้สเปรย์หล่อลื่นโซ่เฉพาะ ส่วนเฟืองและลูกปืนอาจใช้จารบีหรือน้ำมัน
- ทำการหล่อลื่นตามความถี่ที่เหมาะสมกับการใช้งาน หากใช้บ่อยหรือสภาพแวดล้อมมีฝุ่นมาก อาจต้องหล่อลื่นบ่อยขึ้น
- ระวังไม่ให้หล่อลื่นมากเกินไปเพราะอาจดึงดูดฝุ่นมาเกาะมากขึ้น
การตรวจสอบชิ้นส่วนสึกหรอและเปลี่ยนอะไหล่
แม้จะมีการบำรุงรักษาดี ชิ้นส่วนต่าง ๆ ก็จะสึกหรอตามกาลเวลาและการใช้งาน การตรวจสอบและเปลี่ยนอะไหล่ทันเวลาจะป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรืออุบัติเหตุ ชิ้นส่วนที่สึกหรอบ่อยและต้องตรวจสอบเป็นพิเศษ ได้แก่
โซ่หรือสลิง เป็นชิ้นส่วนที่รับน้ำหนักโดยตรงและสึกหรอเร็วที่สุด ต้องเปลี่ยนเมื่อพบรอยขาด รอยบิด สนิมมาก หรือเมื่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลดลงเกิน 10% จากเดิม การใช้โซ่หรือสลิงที่สึกหรอเกินไปอาจทำให้ขาดขณะยกของได้
ผ้าเบรก จะสึกหรอจากการใช้งานบ่อยครั้ง เมื่อผ้าเบรกบาง ระยะห้ามของรอกจะยาวขึ้นและอาจไม่สามารถหยุดได้ทันเวลา ควรตรวจสอบและเปลี่ยนตามที่ผู้ผลิตกำหนดหรือเมื่อสังเกตว่าเบรกทำงานได้ไม่ดี
ลูกปืน ที่สึกหรอจะทำให้เกิดเสียงดัง สั่นสะเทือน หรือรอกเคลื่อนที่ได้ไม่ราบรื่น ควรเปลี่ยนเมื่อพบอาการเหล่านี้ ส่วนเฟืองและสเปรย์ ภายในก็จะสึกหรอตามเวลา การตรวจสอบต้องทำโดยช่างที่มีความชำนาญและควรเปลี่ยนตามกำหนดหรือเมื่อพบการสึกหรอมาก
การมีอะไหล่สำรองที่จำเป็นพร้อมใช้จะช่วยลดเวลาหยุดงานเมื่อต้องเปลี่ยน ศูนย์บริการที่ดี เช่น TTM Crane ที่มีคลังอะไหล่พร้อมส่งกว่า 1,000 รายการ จะช่วยให้คุณได้รับอะไหล่ที่ต้องการอย่างรวดเร็วและแน่ใจว่าเป็นของแท้ที่มีคุณภาพ
มาตรฐานความปลอดภัยและข้อกำหนดในประเทศไทย
การติดตั้งและใช้งานรอกไฟฟ้าในประเทศไทยต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่กำหนดโดยหน่วยงานภาครัฐ การปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการรับประกันความปลอดภัยของพนักงานและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ผู้ประกอบการโรงงานต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และทำให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามครบถ้วน
พิกัดน้ำหนักและสวิตช์จำกัดการยก (Limit Switch)
ตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน รอกและเครนทุกชนิดต้องมีพิกัดน้ำหนักที่ระบุไว้อย่างชัดเจนบนป้ายข้อมูล ป้ายต้องมองเห็นได้ง่ายและระบุข้อมูลครบถ้วน รวมถึงชื่อผู้ผลิต รุ่น พิกัดน้ำหนัก ความสูงการยก และปีที่ผลิต การปลอมแปลงหรือเปลี่ยนแปลงพิกัดน้ำหนักถือเป็นการผิดกฎหมายและเป็นอันตรายร้ายแรง
Limit Switch เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยที่บังคับติดตั้งตามกฎหมาย มีหน้าที่ตัดการทำงานของรอกอัตโนมัติเมื่อยกสูงหรือต่ำถึงจุดที่กำหนด เพื่อป้องกันไม่ให้โซ่หรือสลิงม้วนเกินจนติดเครื่องหรือหย่อนลงกระทบพื้น ต้องตั้งค่าให้ถูกต้องและทดสอบการทำงานเป็นประจำ
นอกจากนี้ควรมีระบบป้องกันน้ำหนักเกิน (Overload Protection) และ Emergency Stop Button ที่ผู้ใช้งานสามารถกดหยุดฉุกเฉินได้ทันที อุปกรณ์ความปลอดภัยทั้งหมดต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและทดสอบเป็นประจำ
ป้ายเตือนและการรับรองอุปกรณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โรงงานที่ใช้รอกและเครนต้องติดป้ายเตือนที่ชัดเจน ได้แก่ ป้ายแสดงพิกัดน้ำหนักสูงสุด ป้ายเตือนอันตรายในบริเวณที่มีการยกของ ป้ายห้ามยกคน และป้ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ป้ายต้องเป็นภาษาไทยหรือมีคำแปลภาษาไทย และมีขนาดตัวอักษรใหญ่พอมองเห็นได้ชัดเจน
หลังติดตั้งรอกหรือเครนเสร็จสิ้น ต้องแจ้งให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด (สคร.) ทราบและขอรับการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่จะมาตรวจสอบการติดตั้ง ทดสอบน้ำหนัก และออกใบรับรอง ปจ.1 หากผ่านการตรวจสอบ ใบรับรองมีอายุ 1 ปี และต้องต่ออายุทุกปี
นอกจากนี้ผู้ควบคุมหรือพนักงานที่ใช้งานรอกต้องผ่านการอบรมหลักสูตรความปลอดภัยตามกฎหมายและได้รับใบประกาศนียบัตร ศูนย์ฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง เช่น ของ TTM Crane สามารถจัดหลักสูตรอบรมที่ตรงตามข้อกำหนดของหน่วยงานรัฐได้
สรุปบทความและคำแนะนำ
วิธีติดตั้งรอกไฟฟ้าที่ถูกต้องต้องอาศัยความรู้และความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกรอกที่เหมาะสม การเตรียมโครงสร้างรับน้ำหนัก ไปจนถึงการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ จากประสบการณ์กว่า 20 ปีในวงการ ข้อแนะนำสำคัญคือเลือกใช้บริษัทที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น ISO 9001:2015 และมีศูนย์บริการครบวงจร การลงทุนในการติดตั้งที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นจะประหยัดกว่าการแก้ไขปัญหาภายหลัง และที่สำคัญคืออย่าลืมอบรมพนักงานให้รู้วิธีใช้งานที่ถูกต้อง เพราะแม้จะติดตั้งดีเพียงใด หากผู้ใช้งานไม่มีความรู้ความเข้าใจก็อาจนำไปสู่ปัญหาได้ การดูแลรอกไฟฟ้าให้ดีวันนี้ คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยในอนาคต
📌 เรื่องความคุ้มค่าต้องยกให้เรา TTM Crane ผู้เชี่ยวชาญด้านลิฟต์ เครน และงานโมดิฟาย การันตีด้วยมาตรฐานรองรับระดับสากล ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO คุณภาพ 9001:2015 สิ่งแวดล้อม 14001:2015 ความปลอดภัยและชีวอนามัย 45001:2018
ติดต่อเพื่อรับคำแนะนำ หรือสอบถามการอบรมได้ที่
📞Tel : 092-874-4551
ID Line: jirayuttm
Facebook: https://www.facebook.com/ttmcrane
Email: contact@ttmcrane.com
Website: http://www.ttmcrane.com















